Browse Category by SEO ทั่วไป
SEO ทั่วไป

เทคนิคสร้างแบรนด์สินค้าด้วย SEO

เทคนิคสร้างแบรนด์สินค้าด้วย SEO

อาชีพขายของออนไลน์ เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมมาหลายปีติดต่อกัน หลายคนทำเป็นอาชีพเสริม หลายคนทำเป็นอาชีพหลัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาชีพขายของออนไลน์เป็นอาชีพที่เริ่มได้ง่าย เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ก็สามารถโพสต์สินค้าเพื่อขายบนเว็บไซต์ E-commerce ต่าง ๆ ได้

แต่สำหรับนักขายของออนไลน์มือโปร ก่อนการขายสินค้าสักหนึ่งชิ้น มือโปรเหล่านี้จะเริ่มที่การสร้างแบรนด์เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จัก ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มที่การสร้างเว็บไซต์สำหรับสินค้าขึ้นมาโดยเฉพาะ วิธีการสร้างแบรนด์สินค้าด้วยหลักการ SEO มีดังนี้

หลักการ SEO ในการสร้างแบรนด์สินค้า

1.เริ่มที่การหาสรรพคุณพิเศษของสินค้า เช่น รักษาอาการปวดเข่า หรือ ทำให้ผมนุ่มสลวย หรือ ทำให้ผิวชุ่มชื้น เป็นต้น แล้วนำสรรพคุณเหล่านี้มาเช็คบน Keyword Suggest เพื่อหา Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายค้นหามากที่สุด โดยควรจด Keyword ที่ดีต่อการทำ SEO ให้กับแบรนด์ไว้อย่างน้อย 3 Keyword เพื่อนำมาใช้สลับสับเปลี่ยนกัน ซึ่ง Keyword ที่ดีต้องมี 2 ลักษณะ คือ 1. มีการค้นหาเยอะ 2. มีอัตราการแข่งขันต่ำ

2.สร้างเว็บไซต์โดยใช้ชื่อแบรนด์และสรรพคุณซึ่งเป็น Keyword หลักของสินค้า จากนั้นใส่ข้อมูลในหน้า About ให้ครบถ้วน

3.จัดเรียงหมวดหมู่ตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะจะทำให้เว็บไซต์ได้รับความน่าเชื่อถือจาก Search Engine มากกว่า

4.นำรูปสินค้าไว้ที่หน้า Home พร้อมเขียนสรรพคุณทั้งหมด โดยตกแต่งให้สวยงามและแนบช่องทางการติดต่อให้ชัดเจน

5.เมื่อจัดการหลังร้านเรียบร้อยแล้ว ควรโพสต์บทความที่มีประโยชน์โดยตั้งชื่อบทความหรือ Title ด้วยประโยคที่น่าสนใจและมี Keyword หลักแทรกทุกครั้ง

6.เขียนเนื้อหาด้านในให้มีความยาวตั้งแต่ 300 คำขึ้นไป โดยในส่วนของคำนำ ควรมี Keyword อย่างน้อย 1 ครั้งและควรทำตัวหนาให้กับ Keyword

7.โพสต์รูปภาพระหว่าง Title และคำนำ เนื่องจากเป็นจุดที่มี Keyword รายล้อมมากที่สุด เริ่มที่การตั้งชื่อไฟล์รูปภาพด้วย Keyword และใส่ Alt Image หรือคำอธิบายภาพให้มี Keyword ด้วย นอกจากนี้การเลือกรูปภาพควรเลือกภาพที่มีความเกี่ยวข้องกับบทความและเป็นภาพที่ไม่มีลิขสิทธิ์ เพื่อป้องกันการฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์ในภายหลัง

8.โพสต์บทความอย่างน้อยวันละ 1 บทความ โดยต้องเขียนเป็นบทความใหม่ 100% โดยเช็คความสดใหม่ได้ที่ https://smallseotools.com/plagiarism-checker/

9.บทความที่เขียน ต้องเขียนให้อ่านออกเป็นภาษามนุษย์ เพราะหากเขียนไม่เป็นภาษาอาจทำให้ Search Engine คิดว่าเป็นสแปมได้

10.เช็คความเป็นมิตรกับสมาร์ทโฟน เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนในการดูเว็บไซต์เป็นหลัก ดังนั้นการปรับการตั้งค่าของเว็บไซต์ให้สามารถเปิดบนสมาร์ทโฟนได้เร็ว ง่าย ใช้สะดวก จึงเป็นสิ่งสำคัญ

หลักการสร้างแบรนด์ด้วย SEO เป็นหลักการเดียวกับการทำเว็บไซต์ ซึ่งวิธีด้านบนเป็นวิธีที่นักการตลาดมือใหม่ก็สามารถทำตามได้

หลักการ SEO ในการสร้างแบรนด์สินค้า

SEO ทั่วไป

แนะนำ Keyword Search เครื่องมือสำคัญสำหรับทำ SEO

แนะนำ Keyword Search เครื่องมือสำคัญสำหรับทำ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเครื่องมือที่นักขาย นักการตลาด นักเขียนบล็อกหรือ Website ต้องรู้จัก เนื่องจากเครื่องมือชนิดนี้จะช่วยให้เป้าหมายของการทำ Website ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก หรือการสร้างยอดขายประสบความสำเร็จได้เร็วมากขึ้น เพราะการทำ SEO จะทำให้คุณติดอันดับการค้นหาต้น ๆ ในเว็บค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เช่น Google, Bing, Yahoo! Search ฯลฯ ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีเว็บ Search Engine ที่ได้รับความนิยมแตกต่างกันไป

หลักการง่ายที่สุดที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับหน้าแรกของ Search Engine คือ การเลือกใช้คำ หรือ Keyword ที่มีคนค้นหาเยอะ ซึ่ง Keyword Search เป็นเครื่องมือช่วยเช็คความนิยมของ Keyword แต่ละคำที่คิดไว้ว่ามีคนค้นหาเยอะหรือไม่? เพื่อให้ได้ Keyword ที่ดีที่สุดในการนำมาทำ SEO

เว็บไซต์ Keyword Search ที่ได้รับความนิยมมีหลายเว็บไซต์ ดังนี้

keywordtool.io เว็บไซต์ Keyword Search ที่ช่วยแนะนำ Long-tail Keyword ที่น่าสนใจ พร้อมจำนวนการค้นหาและประเมินความยากง่ายของแต่ละคีย์เวิร์ด โดยสามารถระบุเว็บไซต์ Search Engine หรือแพลตฟอร์มที่ต้องการทราบ Keyword ได้ด้วย เช่น Google, Youtube, Amazon, Bing ฯลฯ เพื่อให้มีได้ Keyword ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ตรงเป้าหมายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ค้นหาคำว่า “เลี้ยงหมา” เว็บไซต์ keywordtool.io จะมีคำขึ้นมาให้เลือกมากมาย เช่น เลี้ยงหมาป่า, เลี้ยงหมาจิ้งจอก, เลี้ยงหมากับแมว เป็นต้น มีทั้งเวอร์ชั่นฟรี (จำกัดการค้นหาเพียงวันละ 1 ครั้ง) เวอร์ชั่นเสียเงินจะสามารถหาข้อมูลได้ไม่จำกัด

neilpatel.com เป็น Keyword Search ที่ได้รับความนิยมมาก เพราะไม่จำกัดจำนวนในการค้นหา แม้จะไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายและสามารถค้นหา Keyword ที่เหมาะสมได้หลายภาษาด้วยกัน ภายในเว็บไซต์บอกจำนวนครั้งของการค้นหา, ระดับความยากง่ายในการนำคีย์เวิร์ดไปใช้ทำ SEO, ตัวอย่างบทความที่นำคำที่เกี่ยวข้องไปใช้, เว็บไซต์ที่นำ Keyword ไปใช้แล้วติดหน้าแรกของการค้นหาและแนะนำคีย์เวิร์ดใกล้เคียงที่น่าสนใจให้ด้วย

Google Keyword Planner เป็นบริการคาดคะเนจำนวนการค้นหาของ Google โดยตรง แม้จะมีบริการให้เลือกทั้งฟรีและเสียเงิน ซึ่งหากคุณจริงจังกับการทำเว็บไซต์เพื่อสร้างรายได้การสมัคร Google Keyword Planner ถือว่าคุ้มค่าเพราะมีความแม่นยำมาก โดยส่วนใหญ่แล้วนักการตลาดมือโปรมักจะเลือกใช้ Google Keyword Planner เพราะสามารถค้นหาได้หลายภาษา และเพื่อใช้ในการซื้อพื้นที่โฆษณาเพื่อให้ติดอันดับหน้าแรกของ Google ด้วย

สำหรับผู้ที่ต้องการหา Keyword ที่มีคนค้นหาเยอะ แต่ยังไม่มีประสบการณ์ในการใช้เครื่องมือเหล่านี้ ก็สามารถนำคำที่โชว์ขึ้นมาในช่องการค้นหาของ Google ก่อนที่จะกด Enter มาใช้ได้เช่นกัน หรือหาก Enter เพื่อค้นหาเรียบร้อยแล้ว ให้เลื่อนมาที่ด้านล่างสุดของ Google ก็จะเห็นส่วนแนะนำคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำที่คุณค้นหาไป ซึ่งส่วนนี้ก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน

เว็บไซต์ Keyword Search ที่ได้รับความนิยม

SEO ทั่วไป

Google Ads จำเป็นไหมสำหรับเว็บไซต์ SEO

การทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ในปัจจุบันจำเป็นต้องทำเว็บไซต์แบบ SEO ตามกฎเกณฑ์ที่ Google กำหนด ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าจำเป็นต้องทำการโฆษณาหรือใช้บริการ Google Ads ด้วยหรือไม่ จึงจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ในบทความนี้เราจึงได้รวบรวมความเห็นที่น่าสนใจของผู้เชี่ยวชาญมาฝากกัน ดังนี้

SEO หรือ search engine optimization เป็นหลักการที่เว็บไซต์ยุคใหม่ทั่วไปทำกัน เช่น การเลือก keyword ที่มีคุณภาพในการเขียนบทความ การทำลิงก์เชื่อมโยงสู่เว็บไซต์อื่น ๆ ฯลฯ ซึ่งระบบ algorithm ของ Google จะมีช่วงเวลาในการเก็บประมวลข้อมูลด้าน SEO จากแต่ละเว็บไซต์ไป เพื่อใช้เปรียบเทียบคุณภาพ ทำให้เว็บไซต์ที่มีคะแนน SEO สูง มีโอกาสถูกสืบค้นพบได้ผ่าน Google มากขึ้น จึงเพิ่มยอดขายให้สินค้าและสร้างชื่อเสียงได้เร็ว

อย่างไรก็ตาม การทำ SEO นั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลาในการต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยเฉลี่ยใช้ระยะเวลา 3 เดือนหลังทำ จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี ดังนั้น SEO จึงเป็นพื้นฐานที่เหมาะกับธุรกิจทุกประเภทที่ควรทำตลอดทั้งปี เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีของการสืบค้นเสมอ

ทำความรู้จักกับ Google Ads

Google Ads เป็นเทคนิคการตลาดที่อาศัยการโฆษณา ต้องมีการเสียเงินค่าใช้จ่ายให้แก่ search engine หรือ Google ซึ่งอาจจะมีชื่อเรียกอื่นว่า Search Engine Marketing หรือ SEM โดยผู้ที่จะทำ Google Ads จะต้องทำการเลือก keyword ที่จะใช้ประมูลพื้นที่โฆษณา ซึ่งหากเป็น keyword ที่คนนิยมมากจากมีการแสดงสถิติไว้ใน Google Search Console ที่คนทำเว็บไซต์สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ ก็ต้องยอมรับว่าจะประมูลด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามมา

หลังจากได้พื้นที่โฆษณา Google Ads มา เจ้าของเว็บไซต์ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายที่จะให้ระบบตัดจากวงเงิน เป็นแบบ Pay per click ซึ่งเป็นการคิดค่าใช้จ่ายรายครั้งของการคลิก เมื่อมีกาตัดเงินจนเต็มวงเงินเมื่อไหร่ ก็จะทำให้หยุดการโฆษณาไปโดยอัตโนมัติ

การทำ Google Ads จึงเป็นช่องทางในการช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเห็นเว็บไซต์ธุรกิจมากขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ร้านที่ต้องการโปรโมทแบรนด์หรือเพิ่มยอดขายในช่วงใด ควรทำ Google Ads เสริมเป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่คนจะนิยมทำในช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ คริสมาสต์ วาเลนไทน์ วันสงกรานต์ ฯลฯ ที่ผู้คนมักจับจ่ายใช้สอย หรือแม้แต่ช่วงปลายเดือนของทุก ๆ เดือนซึ่งเป็นวันเงินเดือนออกของคนส่วนใหญ่ ก็เห็นผลที่ดีจากการทำ Google Ads ด้วย

การทำ Google Ads ไม่จำเป็นจะต้องทำตลอด และธุรกิจที่ทำ SEO มานานก็อาจไม่ต้องทำ Google Ads ก็ได้ เพราะมียอดขายดีอยู่แล้ว แต่สำหรับธุรกิจน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวปี 2019 หรือกำลังจะเปิดตัวในปี 2020 ก็ขอแนะนำให้ศึกษาการทำ Google Ads คู่กับ SEO ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อวางแผนทางธุรกิจในระยะยาวได้ดีขึ้น ซึ่งต้องประกอบกับการติดตามภาวะเศรษฐกิจและเทรนด์ความสนใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วย

ทำความรู้จักกับ Google Ads

SEO ทั่วไป

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ keyword SEO

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ keyword SEO

การทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จ มีผู้คนรู้จักและมียอดขายสินค้าที่มากขึ้น จำเป็นต้องรู้จักการเลือกใช้ keyword SEO ที่เหมาะสม ซึ่งกูรูการตลาดแนะนำว่าในเบื้องต้นสามารถหาได้จาก Google search ซึ่งจะมีคำขึ้นอัตโนมัติ ตรงกับการสืบค้นที่คนทั่วไปนิยม หรือดูที่ด้านล่างของหน้าจอจะมีคำว่า related to หมายถึงคำอื่นๆ ที่มีการสืบค้นเพิ่มเติมอีก ซึ่งก็มีนัยสำคัญทางสถิติที่สามารถนำมาใช้เพื่อการเขียนบทความ ทำหัวข้อ ออกแบบ meta-description ที่มีทำให้อันดับ SEO เพิ่มได้

นอกจากที่กล่าวมา การคิด keyword SEO ที่แหวกแนวจากแบบเดิม ๆ เพิ่มความดึงดูดใจผู้อ่าน ก็มีเทคนิคที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

1. คำที่หมายถึง ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร

keyword ที่ตอบโจทย์ทั้งสี่คำถามนี้ นับว่าเป็นพื้นฐานสำหรับการเขียนบทความที่น่าสนใจ หากคุณต้องการสร้างบทความ SEO ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่คุณจำหน่าย เช่น เสื้อผ้าเกาหลี หากคุณยังไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอย่างไร ให้นึกถึงคำว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เพื่อสร้างบทความที่จูงใจได้ สำหรับสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าเกาหลีอาจจะทำบทความที่ว่า “แฟชั่นเสื้อผ้าเกาหลี..คนรุ่นใหม่อยากไปเที่ยวช่วงฤดูหนาว แต่งตัวอย่างไรดี 2019” เพียงเท่านี้ ก็จะได้แนวทางการเขียนบทความ และทำให้คุณจับประเด็นในการหาภาพประกอบที่เหมาะสม เพื่อจูงใจผู้อ่านให้มาสนใจบทความมากขึ้นได้

2. มองหาปัญหาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

หากคุณทำผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิวหรือแก้ปัญหาสุขภาพเส้นผมแห้งเสีย ต้องมองว่าลูกค้าที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เป็นผู้ที่ประสบปัญหาใดบ้าง เช่น ปัญหาผิวพรรณ ได้แก่ ผิวหมองคล้ำ เป็นสิว ฝ้า ผิวแห้ง ผิวมัน หน้าเยิ้มมันง่ายเมื่อแต่งหน้า หรือปัญหาผมเสียจากปัญหาการเปลี่ยนสีผมบ่อย หนังศีรษะเป็นรังแค เส้นผมแห้งแตกปลายแต่หนังศีรษะมัน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ คือวัตถุประสงค์ที่ลูกค้าจะหาบทความอ่านเพื่อที่จะเสริมความรู้ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ด้วย หากมีการแนะนำสินค้าต่อเนื่องจากการให้ความรู้ จะทำให้ยอดขายดีขึ้นได้มากทีเดียว

3. ใส่ใจทุกแพลตฟอร์ม

หลายคนมีทั้งเว็บไซต์ที่สืบค้นได้ผ่าน Google และเพจใน Facebook เพื่อการเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะคนไทยที่นิยมใช้ Facebook เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ต้องอย่าลืมใส่ keyword SEO ลงไปในทั้ง 2 แหล่ง และสร้างลิงก์เชื่อมโยงกันซึ่งนับว่าเป็น off- Page SEO ที่เพิ่มอันดับในการสืบค้นของธุรกิจของคุณบนโลกออนไลน์ได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย

เราหวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้เห็นประโยชน์ของการเลือก keyword SEO ที่ดี ซึ่งการันตีได้ว่าหากทำอย่างต่อเนื่องและผลิตเนื้อหาบทความให้มีความทันสมัยอยู่เสมอแล้ว ก็จะทำให้สินค้าของคุณมียอดขายที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

การคิด keyword SEO ที่แหวกแนวจากแบบเดิม

SEO ทั่วไป, แนวทาง SEO อื่นๆ

การทำ SEO ให้เพจใน Facebook สำคัญอย่างไร

Facebook App On The Apple Iphone Display And Desktop Version Of

ผู้ที่เปิดเพจใน Facebook เพื่อขายสินค้าล้วนต้องการมียอดขายสูงขึ้นควบคู่กับเพิ่มแฟนเพจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแสดงถึงความมั่นคงทางธุรกิจและมีอำนาจในการแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ

การทำ SEO หรือ search engine optimization ให้ค้นหาชื่อ Facebook ให้ถูกเจอได้ง่ายขึ้นทั้งใน Facebook และบน Google ใน SERP หรือ search engine results page จะเป็นผลดีให้บรรลุความต้องการที่กล่าวมา ซึ่งผู้มีเพจใน Facebook ควรใส่ใจในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. การตั้งชื่อเพจใน Facebook

ควรจะใช้ keyword ที่เป็นคำสำคัญในการสืบค้นหลัก เช่นเดียวกับที่ใช้ใน Google เพื่อการสืบค้นเจอง่ายที่สุด โดยควรใส่ชื่อแบรนด์สินค้าหรือร้านค้าของคุณลงไปด้วย เพื่อสร้างความจดจำในระยะยาว เช่น เสื้อผ้ามือสอง+น้องเมย์ รองเท้ากีฬา+Nike+เชียงใหม่

ซึ่งมีการวิเคราะห์พบว่า ร้านค้าที่ใช้คำสำคัญที่ยาวและจำเพาะมากขึ้นหรือที่เรียกว่า long tail niche keyword จะทำให้มีสัดส่วนของการขายสินค้าได้มากกว่าการใช้คีย์เวิร์ดแบบสั้น

2. การใส่ข้อมูลต่างๆ ในช่องที่ Facebook ให้กรอก

ควรใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนในช่อง About ที่ให้ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าและสินค้าที่จำหน่าย เหมาะกับกลุ่มลูกค้าประเภทใด ตำแหน่งที่ตั้ง เช่น ชื่อถนน จังหวัด เวลาเปิดปิดทำการ ฯลฯ

ข้อมูลในช่อง About เทียบได้กับส่วน Meta Description ของการทำบทความในเว็บไซต์ออนไลน์ ที่ต้องมีการใส่ keyword SEO ลงไปด้วย จะทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจ ถึงวัตถุประสงค์ในการเปิด Facebook ของคุณที่ชัดเจน และทำให้มีอันดับ SEO ในการสืบค้นที่ดีขึ้นตามมา

3. การอัปเดตข้อมูลใน Facebook อย่างเหมาะสม

ควรศึกษาช่วงเวลาที่มีคนใช้ Facebook มากที่สุดในแต่ละวัน โดยหาจากข้อมูลสถิติที่นักการตลาดมืออาชีพทำการวิเคราะห์ ว่ากลุ่มเป้าหมายของสินค้าคุณสืบค้นข้อมูลช่วงเวลาใดบ่อยที่สุด ก็ควรเน้นการโพสต์ประชาสัมพันธ์สินค้า ทั้งรูปภาพและบทความที่มีความยาวเหมาะสม 100-200 คำในช่วงเวลานั้น

การเลือกช่วงเวลาที่ดีและใส่ใจคุณภาพของสิ่งที่โพสต์เป็นประจำ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเพจ และช่วยเพิ่มค่าสถิติ เช่น ค่า reach engagement ต่างๆ ที่จะทำให้อันดับ SEO สูงขึ้นตามไปด้วย

การทำ SEO ให้เพจใน Facebook สำคัญอย่างไร

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้แก่เพจใน Facebook เป็นสิ่งที่ต้องศึกษา หากต้องการเพิ่มความเชื่อมั่นในร้านค้า เพิ่มจำนวนลูกค้าประจำและทำให้มียอดขายที่ดีตามมาอย่างต่อเนื่อง

หากคุณยังเป็นมือใหม่ในการเปิดเพจร้านค้าออนไลน์ สามารถหา Keyword SEO ที่จะใช้ได้ ผ่านทางการพิมพ์ในช่อง Google search ซึ่งจะปรากฏผลแบบอัตโนมัติให้คุณเลือกได้ หรือดูที่ด้านล่างของคำว่า Search related to ซึ่งจะมีตัวอย่างคำอัตโนมัติขึ้นมา นั่นคือ ผลลัพธ์จากการสืบค้นจริง ๆ ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ

เราหวังว่า บทความนี้จะทำให้ท่านที่เปิดเพจขายสินค้าใน Facebook เห็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำธุรกิจออนไลน์ต่อไป

SEO ทั่วไป

จะทำเว็บไซต์ SEO ควรรู้จัก Plugin อะไรบ้าง

การทำเว็บไซต์ SEO ตามระบบคัดกรองมาตรฐานเว็บไซต์ที่ Google กำหนด เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ทำเว็บไซต์ออนไลน์ต้องเรียนรู้ เพราะผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ด้วยระบบ algorithm ของ Google มีผลอย่างมากต่ออันดับการสืบค้น และการปรากฏในหน้าจอสืบค้นของ Google search ซึ่งจะช่วยให้เสริมประสิทธิภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจกับเว็บไซต์อื่น ๆ

plugin เสริมการทำ SEO ที่ผู้ทำเว็บไซต์รุ่นใหม่ควรรู้จักมีอยู่หลายชนิด ที่นักการตลาดออนไลน์แนะนำ เพื่อนำไปใช้พัฒนาเว็บไซต์และการทำ SEO ได้อย่างดียิ่งขึ้น ดังนี้

1. Thai Address Autocomplete for WooCommerce

เหมาะกับเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ทุกประเภท เพราะหลังจากที่ลูกค้าพิมพ์ข้อมูลที่อยู่ลงทะเบียนตัวตนหรือที่อยู่จัดส่ง ระบบ plugin จะแสดงคำขึ้นอัตโนมัติ เช่น แขวง เขต จังหวัด รหัสไปรษณีย์ จึงช่วยให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในเว็บไซต์กรอกข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว จึงเสริมความประทับใจในการใช้งานมากยิ่งขึ้น

2. SMS for WooCommerce

เรียกว่าเป็น plugin ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการซื้อขายสินค้าออนไลน์อย่างมาก โดยระบบ plugin จะช่วยในการส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือทุกครั้ง ที่มีการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินเรียบร้อย รวมถึงบอกสถานะในการจัดส่งสินค้า พร้อม tracking number หรือตัวเลขในการจัดส่งเพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบเส้นทางการส่งสินค้าได้ตลอดเวลา

3. Seed Social

นับว่าเป็น plugin ที่ช่วยในการส่งต่อข้อมูลประชาสัมพันธ์เว็บไซต์หรือลิงค์เชื่อมโยงไปยังสื่อโซเชียลที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใช้งาน เช่น Facebook Twitter และ LINE จึงเท่ากับประหยัดเวลาในการโพสต์ข้อมูลของเจ้าของเว็บไซต์ SEO และยังเพิ่ม Traffic หรือจำนวนการเข้าชมในเว็บไซต์ได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเพิ่มอันดับ SEO ด้วย

4. W3 Total Cache

เป็นระบบสำรองข้อมูล Cash ให้กับเว็บไซต์ ช่วยลดภาระในการทำงานของ server ลง โดยรวมจะทำให้เว็บไซต์ทำงานได้ดี ประหยัดทรัพยากรในระบบคอมพิวเตอร์ และทำให้ดาวน์โหลดข้อมูลด้วยความเร็วสูงขึ้น

5. Yoast SEO

เป็น plugin สำคัญที่ไม่ควรพลาด เพราะสามารถช่วยในการวิเคราะห์บทความ SEO การเลือก keyword ที่เหมาะสม ตลอดจนช่วยในการตั้งหัวเรื่อง (Title) และส่วนสรุปย่อ (Meta Description) ที่มีความเหมาะสม โดยระบบจะแสดงผลการวิเคราะห์เป็นแถบสีแดงเขียว และมีตัวอักษรแสดงรายละเอียดให้ทราบว่าควรพัฒนาที่ตำแหน่งใดบ้างที่จะทำให้อันดับ SEO ดีขึ้นได้

6. iThemes Security

การป้องกันการโจรกรรมข้อมูลจาก bot หรือ malware เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง plugin ถูกออกแบบมาให้เว็บไซต์ SEO ของคุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งข้อมูลของสินค้า บริการ และข้อมูลของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งหากถูกโจรกรรมไปจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการแข่งขันทางการตลาดอย่างมาก

จะเห็นได้ว่า plugin ที่แนะนำข้างต้น เป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่การทำเว็บไซต์ SEO ทั้งด้านความปลอดภัยของข้อมูล ความเชื่อมั่นของลูกค้า ตลอดจนการใช้ทรัพยากรของเครื่องที่เหมาะสมยิ่งขึ้น หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการทำให้นักพัฒนาเว็บไซต์ SEO ดาวน์โหลดเพื่อใช้งานและเรียนรู้ต่อยอดในเชิงลึกกันต่อไป

plugin เสริมการทำ SEO ที่ผู้ทำเว็บไซต์รุ่นใหม่

SEO ทั่วไป

SEO คืออะไร จะวัดผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

SEO คืออะไร จะวัดผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

SEO เป็นหนึ่งในเทคนิคการตลาดที่ผู้เชี่ยวชาญในการทำธุรกิจออนไลน์แนะนำไว้ เนื่องจากจะช่วยเพิ่มยอดขายและจำนวนลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ แตกต่างจากการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing ที่ต้องเสียค่าประมูลพื้นที่โฆษณาและจ่ายเงินแบบ PPC หรือ Pay Per Click ให้แก่ Search Engine อย่าง Bing, Yahoo หรือ Google

SEO หรือ Search Engine Organization คือ การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย เข้ากับไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เช่น มีการวางผังโครงสร้างที่เหมาะสมกับการใช้งานในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ มีการแยกหมวดหมู่สินค้าออกจากโฆษณา ที่สำคัญ คือ ผลิตบทความที่มีคุณภาพเพื่อให้สาระและประโยชน์แก่ผู้อ่าน โดยมีการใช้ Keyword ที่เหมาะสมและอัปเดตข้อมูลให้ทันสมัยที่สุด

ผู้ประกอบการทำธุรกิจออนไลน์ควรศึกษาขั้นตอนการทำ SEO อย่างละเอียดและควรทราบว่า โดยหลักการแล้ว การทำ SEO เป็นการสะสมข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ระบบ Algorithm AI อัจฉริยะของ Search Engine ประมวลผล และคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์เป็นระยะ จึงมักจะใช้เวลาในการเห็นผลการเปลี่ยนแปลง SEO ที่ 3 ถึง 6 เดือนขึ้นไป (ซึ่งขึ้นกับชนิดของธุรกิจด้วย เช่น การโรงแรม จะเห็นผลของ SEO ที่ 1 ปี ขึ้นไปหลังการทำ)

นอกจากการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงด้านของยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากการทำ SEO และฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นแล้ว ผู้ทำเว็บไซต์ออนไลน์ยังสามารถเช็คการเปลี่ยนแปลงของลำดับการนำเสนอเว็บไซต์ที่ดีขึ้นได้ ด้วยวิธีที่กูรูการตลาดแนะนำไว้ 3 ช่องทาง ดังนี้

1. การใช้ Google Search Console

หลังจากการติดตั้ง Google Search Console และเชื่อมเข้ากับเว็บไซต์แล้ว ก็สามารถที่จะใส่ Keyword เพื่อตรวจสอบได้ว่าเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ ซึ่งจะปรากฏผลเป็นค่า CTR หรือ Click Through Rate ที่หมายถึง จำนวนผู้ที่เห็นเว็บไซต์แล้วคลิกเข้ามาชม จากข้อมูลเหล่านี้ สามารถนำไปใช้เพื่อการปรับปรุงเว็บไซต์ในระยะยาวได้ด้วย

2. การเช็คผ่าน Application มือถือ

เพียง Download Application SEO SERP ลงในโทรศัพท์มือถือ กดติดตั้งแล้วใส่ Keyword ต่าง ๆ พร้อมกับ URL Address ที่ต้องการทดสอบลงไป จะปรากฏผลอันดับของเว็บไซต์ออกมาอย่างรวดเร็ว มีข้อดีคือสามารถเช็คได้ถึง 10 คีย์เวิร์ดในครั้งเดียว

3. การตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ Serplab.Co.Uk

เป็นแหล่งเช็ค SEO ที่สะดวก เพียงใส่ Keyword พร้อมกับ URLลิงก์ลงไปก็จะสามารถเช็คอันดับของเว็บไซต์ SEO ได้ง่าย ๆ โดยเช็คพร้อมกันได้ 5 คีย์เวิร์ด

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO มีประโยชน์หลากหลายด้าน และสามารถเช็คผลการเปลี่ยนแปลงได้จริง เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูล ผู้ประกอบการที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ ควรศึกษาการทำและการวัดผล SEO ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว

SEO เป็นหนึ่งในเทคนิคการตลาด

SEO ทั่วไป

วิธีเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO ที่ไว้ใจได้

วิธีเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO ที่ไว้ใจได้

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ เป็นช่องทางที่ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในปี 2019 หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีเว็บไซต์ แต่มีผู้เข้าชมน้อยหรือยังไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย การเลือกบริษัทที่ช่วยในการทำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพ จะช่วยทำให้มียอดผู้ชมมากขึ้น สามารถขยายฐานลูกค้าและมียอดจำหน่ายที่ดียิ่งขึ้นตามมาได้

วิธีการเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์ SEO ที่ไว้วางใจได้ มีดังนี้

1. ความน่าเชื่อถือ

หากคุณมีเพื่อนที่ทำกิจการเว็บไซต์ออนไลน์ แล้วประสบความสำเร็จจากการจ้างบริษัท SEO บริษัทใดอย่างต่อเนื่อง ขอให้คุณพิจารณาเลือกบริษัทเหล่านี้เป็นอันดับต้น ๆ เพราะมีโอกาสสูงที่จะได้รับความสำเร็จ และมีเปอร์เซ็นต์ถูกทิ้งงานต่ำ นอกจากนี้ ยังอาจได้ราคาในการจ้างงานแบบโปรโมชั่นพิเศษ เพราะเป็นการบอกต่อของลูกค้านั่นเอง

2. เปรียบเทียบข้อมูลหลายบริษัท

ปัจจุบันมีบริษัททำ SEO มากมาย ที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทั้งในกลุ่มของ Facebook และที่หาได้จากการสืบค้นด้วย Google search ซึ่งคุณควรพิจารณาค่าใช้จ่ายและประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อเปรียบเทียบว่าค่าใช้จ่ายในการจ้างงานบริษัทใดคุ้มค่ากว่ากัน

3. การการันตีผลลัพธ์

ควรระวังการการันตีผลลัพธ์ที่เกินความจริงในการทำ SEO โดยเฉพาะ 2 ประเด็นต่อไปนี้

สามารถทำให้อันดับในการสืบค้นเว็บไซต์คุณสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลา 2-3 อาทิตย์

การันตีว่าเมื่อพิมพ์หาด้วย keyword เช่น ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ จะแสดงผลเว็บไซต์ของคุณจะขึ้นเป็นอันดับ 1 แน่นอน

เพราะระบบ algorithm ของ Google มีความซับซ้อน ประเมินผลจากข้อมูลที่ประมวลลงในระบบคอมพิวเตอร์เป็นระยะ จึงใช้เวลาสะสมข้อมูลนาน 2-3 เดือนขึ้นไป และยังไม่สามารถการันตีผลลัพธ์ได้ว่าจะเป็นอันดับที่ 1 การการันตีผลลัพธ์ที่ดีเกินจริงในเวลารวดเร็ว เป็นสิ่งที่ต้องระวังไว้ให้มาก

4. สัญญาทางกฎหมาย

การจ้างงานทำ SEO โดยมากจะใช้ระยะเวลาเป็น 6 เดือนถึง 1 ปี ในการที่จะเห็นผล จึงมักมีการทำสัญญาระหว่างกัน ทั้งนี้ควรพิจารณาข้อมูลตามหลักกฎหมายให้ดี สิ่งที่ห้ามมองข้าม คือ กรณีที่บริษัททำ SEO ไม่สามารถที่จะทำผลงานให้ดีตามที่วางแผนไว้ได้ จะมีการจะรับผิดชอบอย่างไร หรือสามารถที่จะเปลี่ยนเป็นบริษัทอื่น โดยได้รับค่าทดแทนอย่างไรบ้างวิธีการเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์ SEO ที่ไว้วางใจได้

เรียกได้ว่า การเลือกบริษัทรับทำ SEO ในปัจจุบัน นอกจากดูที่ราคาค่าใช้จ่ายที่ประหยัดต้นทุนทางธุรกิจของคุณแล้ว ยังต้องดูตัวอย่างผลงานที่ผ่านมา ที่สำคัญ คือ การรับรองผลลัพธ์ ต้องสัมพันธ์กับหลักการความเป็นจริงในการทำ SEO ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงตัวมา และยังทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่เสียโอกาสในการสร้างความเติบโตทางธุรกิจแข่งกับคู่แข่งรายอื่นด้วย

SEO ทั่วไป

ทำไมการทำ SEO ทำให้คุณเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ทำไมการทำ SEO ทำให้คุณเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการตลาดที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ทั่วโลกตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ผู้ที่เพิ่งเข้ามาทำธุรกิจออนไลน์ใหม่จำนวนไม่น้อย อาจสงสัยว่าการทำ SEO เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศได้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แม้แต่บาทเดียว

เรามีข้อเท็จจริงที่ได้รวบรวมมาฝากกันไว้ที่นี่ ดังนี้

การทำ SEO ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ On-Page SEO และ Off-Page SEO

1. On-Page SEO

หมายถึง การปรับปรุงในส่วนโครงสร้างพื้นฐานเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่าย เป็นมิตรกับการใช้งานบนมือถือ หรือที่เรียกว่า Mobile Friendly มีการใช้ Keyword SEO ที่ผ่านการวิจัยจาก Search Engine อย่าง Yahoo, Bing และ Google ตรงกับการสืบค้นของกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้การเขียนบทความมีคุณภาพและสื่อสารตรงกับลูกค้าที่คุณต้องการมากยิ่งขึ้น ซึ่งการทำบทความ SEO เป็นภาษาต่างประเทศ เช่นภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ภาษาอังกฤษ ฯลฯ ล้วนแต่จะทำให้คุณเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายที่ใช้ภาษาต่างประเทศได้ โดยการเชื่อมโยงด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ที่มีการสืบค้นจาก Keyword SEO ที่คุณใช้ในเพจ จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์แต่อย่างใด

2. Off-Page SEO

หมายถึง การเชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณเข้าสู่เว็บไซต์ภายนอก ซึ่งอาจจะเป็นห้องแชทสนทนา เช่น Pantip หรือเว็บบอร์ดต่าง ๆ ที่มีชาวต่างชาติพูดคุยกัน

ตัวอย่างเช่น คุณขายผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น ก็ควรสมัครเข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเป็นโรคภูมิแพ้ หรือกลุ่มแม่และเด็ก กลุ่มผู้สูงอายุ ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงของโรคภูมิแพ้ไรฝุ่น (ซึ่งควรเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่สนทนาภาษาต่างประเทศเป็นหลักด้วย) เมื่อคุณสามารถให้ข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น อธิบายถึงสรรพคุณในการช่วยลดปัญหาโรคภูมิแพ้ได้ ก็จะมีผู้สนใจสอบถามข้อมูลจากคุณเพิ่มขึ้น คุณก็สามารถให้ลิงก์เพื่อให้สมาชิกในห้องแชทเหล่านั้นเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ แล้วก็จะเกิดการขายสินค้าในเว็บไซต์ธุรกิจคุณตามมานั่นเอง (แนะนำให้คุณทำบทความ SEO เป็นภาษาต่างประเทศไว้รองรับการทำ Off-Page SEO เสมอ)

วิธีที่กล่าวมา เรียกว่าการทำ Backlink ซึ่งเป็นเทคนิคที่จะไม่ถูกโดนแบนจากกลุ่มสนทนาหรือห้องแชทใด ๆ และก็เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แสดงความจริงใจ และทำให้แบรนด์ของคุณเข้าสู่ความเป็นสากล หรือโกอินเตอร์ได้อย่างแน่นอน

การทำ SEO ตามหลักเกณฑ์ที่ Search Engine กำหนดใน 2 ส่วนที่กล่าวมา ไม่ได้ใช้เงินในการลงโฆษณาหรือต้องมีการเดินทางไปต่างประเทศแต่อย่างใด เพียงแต่มีการทำข้อมูลในเว็บไซต์ให้รองรับกลุ่มผู้ใช้งานในภาษาต่างประเทศได้ อัปเดตข้อมูลสม่ำเสมอ ควบคู่กับบริการที่ดี ก็จะทำให้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มชาวต่างชาติได้อย่างแน่นอน

การทำ SEO ประกอบด้วย 2 ส่วน

SEO ทั่วไป

ทำไมจึงควรจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์ทำ SEO ให้เว็บไซต์คุณ

การแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบันมีคู่แข่งจำนวนมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจผันผวน การช่วงชิงจังหวะในการเพิ่มรายได้และขยายฐานลูกค้าให้มากที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ หากอยากขายสินค้าบนโลกออนไลน์ให้ได้มาก จึงจำเป็นต้องจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์ทำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพ เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างรวดเร็ว

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะสามารถทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดให้แก่ Search Engine

ในการจ้างทำเว็บไซต์การทำ SEO นั้น นักธุรกิจที่เป็นเจ้าของแบรนด์ควรทราบว่าประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

1. On-Page SEO เป็นการจัดการโครงสร้างของเว็บไซต์ ให้มีความสวยงามและดูเป็นมืออาชีพ มีการจัดหมวดหมู่ของสินค้าและบริการ เช่น การตอบคำถามข้อสงสัย เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคลิกใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ทั้งต้องมีการออกแบบโลโก้ ตัวอักษร ธีมสีประจำเว็บไซต์ เพื่อให้เกิดการจดจำได้ง่ายและติดตลาดอย่างรวดเร็วด้วย

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว การผลิตบทความ SEO ที่มีคุณภาพโดยการใส่ Keyword หลักและรองที่ผ่านการวิจัยแล้วว่าสอดคล้องกับการค้นหาจริงใน Search Engine ก็มีความสำคัญ จะทำให้เพิ่มโอกาสในการสืบค้นได้มากขึ้น เนื่องจากระบบ AI อัจฉริยะจะวิเคราะห์และประมวลคุณภาพของบทความในแต่ละเพจ เพื่อนำมาสู่การจัดอันดับ SEO นั่นเอง

2. Off-Page SEO เป็นการสร้างลิงก์ เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณกับช่องทางการสื่อสารภายนอก ไม่ว่าจะในห้องแชทบนโลกโซเชียล ใน Facebook หรือ Pantip ที่คุณสามารถไปแสดงความคิดเห็นและโพสต์ลิงก์เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาหาข้อมูลจากเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณได้ เช่น คุณทำเว็บไซต์ขายรถยนต์มือสอง ควรสอนวิธีการดูรถมือสองไม่ให้ถูกหลอก จะทำให้ผู้ที่กำลังหาซื้อรถสนใจและเข้ามาสอบถามหรือใช้บริการจากเว็บไซต์คุณมากขึ้น ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า การทำ Backlink เป็นเทคนิคที่นิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ จะช่วยให้ขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

การทำ SEO ทั้งสองส่วนที่กล่าวมา จะทำให้มีการเพิ่มจำนวนผู้ที่คลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์คุณ หรือเรียกว่าเพิ่มค่า CTR ร่วมกับการเพิ่ม Traffic ของผู้คนที่เข้ามาใช้บริการเว็บไซต์คุณ ก็จะทำให้มีอันดับ SEO ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามมา

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้ได้ผลเร็ว ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์อย่างสูง หากต้องการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจทั้งยอดขายและจำนวนลูกค้า ควรเลือกบริษัทที่มีคุณภาพในการทำ SEO ให้ได้ผลตามเป้าหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าแม้จะเป็นเว็บไซต์น้องใหม่ที่เพิ่งสร้างมาไม่นาน ก็สามารถติดตลาดแข่งกับเว็บไซต์ที่ก่อตั้งมานานได้

การจ้างทำเว็บไซต์การทำ SEO