Browse Tag by SEM
SEO ทั่วไป

SEO ต่างจาก SEM อย่างไร

SEO ต่างจาก SEM อย่างไร

ปัจจุบันบนโลกออนไลน์มีการแข่งขันที่สูงมาก ไม่ว่าธุรกิจหรือบริการใดก็ต้องเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในนี้ เพราะผู้บริโภคมีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปจากเดิม สมัยนี้คนเราต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ยอมจ่ายแพงหน่อยก็ยินดีถือว่าคุ้มค่าไม่ต้องเสียเวลา ทำให้ตลาดออนไลน์มีความคึกคักมากขึ้น และส่งผลให้การทำ Digital Marketing (การตลาดออนไลน์) มีหลายรูปแบบมากกว่าเดิม

โดย SEO กับ SEM เป็น 2 รูปแบบที่นิยมมาก ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลายปัจจัย ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของเว็บไซต์นั้น ๆ

  • SEM (Search Engine Marketing) คือ การลงทุนเพื่อทำการตลาดออนไลน์ที่สามารถวัดผลและนำไปวิเคราะห์ต่อยอดในธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยวิธีซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์เราอยู่อันดับบนสุดหน้าแรกของการค้นหาด้วย Keyword อย่างของ Google โดยสังเกตได้จาก Ad ด้านหน้าของเว็บไซต์
  • SEO (Search Engine Optimization) คือ การทำการตลาดออนไลน์โดยการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เว็บไซต์ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ หรือหน้าแรกของการค้นหาบน Search Engine อย่าง Google ที่มีคนใช้จำนวนมาก ด้วย Keyword โดยวิธีนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาเว็บไซต์ แต่ต้องทำให้ระบบอัลกอริทึม (Algorithm) ของ Search Engine ประเมินแล้วผ่านเกณฑ์ และพาเว็บไซต์ขึ้นสู่อันดับแรก ๆ ของหน้าการค้นหา

ในส่วนของการทำการตลาดออนไลน์แบบ SEO กับ SEM มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ดังนี้

1.ด้านค่าใช้จ่าย
SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนกับการโฆษณาบน Search Engine เจ้าของเว็บไซต์สามารถนำเงินส่วนนี้ไปปรับปรุง พัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ มีความน่าสนใจ ดึงดูดคนให้เข้าชมได้

SEM ถึงจะต้องเสียค่าใช้จ่าย มีการลงทุนกับส่วนนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนที่เห็นผล วัดผลได้ สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ ต่อยอดในด้านต่าง ๆ ของธุรกิจต่อไป

2.ด้านเวลาในการทำ
SEO ใช้ระยะเวลาที่มากกว่า และต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง การศึกษาอย่างตรงจุดและใส่ใจรายละเอียดว่าแบบไหนที่อัลกอริทึม (Algorithm) ของ Search Engine ถูกใจ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับระบบที่ตั้งขึ้นมา

ส่วน SEM เห็นผลได้ชัดเจนในทันที ในการติดอันดับบนสุดของหน้าแรกบน Search Engine (ถ้าประมูลค่าคลิกชนะคู่แข่งที่ลงโฆษณาเช่นกัน) แค่ Keyword เกี่ยวข้องตรงกับเว็บไซต์ ผู้คนก็เห็นเว็บไซต์คุณแล้ว

3.การันตีผล
SEO ไม่ได้การันตีได้เสมอไปว่าเว็บไซต์เราจะติดหน้าแรกหรืออันดับต้น ๆ ของการค้นหาด้วย Keyword ถึงแม้เว็บไซต์เราจะเกี่ยวข้อง เพราะตัวของระบบ Search Engine เองก็มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ส่วน SEM การันตีขึ้นอันดับบนสุดและหน้าแรกแน่นอน หากคุณภาพของโฆษณาและค่าประมูลต่อคลิกตรงตามเงื่อนไขการแข่งประมูล แต่ตัวเว็บไซต์เองก็ต้องให้ความสำคัญของ Keyword และประสบการณ์ผู้ใช้ด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นเสียเงินโฆษณาไปแบบเปล่าประโยชน์

4.โอกาสทางธุรกิจ
SEO กว่าคนจะเห็นเว็บไซต์ เราอาจจะเสียโอกาสทางธุรกิจไปแล้วก็ได้ ลูกค้าอาจจะเลือกเจ้าอื่นไปก่อนหน้าที่จะมาเจอเว็บไซต์เรา

ในขณะที่ SEM โอกาสที่คนจะเข้าเว็บไซต์เป็นไปได้สูงกว่า สร้างโอกาสให้ธุรกิจโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น เห็นผลรวดเร็ว เราจะได้เพิ่มทั้งจำนวนผู้เข้าชม และได้ยอดขายเพิ่มด้วย

ความแตกต่างของ SEO กับ SEM ถือเป็นทางเลือกของแต่ละธุรกิจแต่ละเว็บไซต์เพื่อทำการตลาดออนไลน์ โดยการประเมินจากหลายปัจจัยของธุรกิจนั้น ๆ แต่ทั้งนี้ เพื่อความคุ้มค่า ก็ต้องดูความเหมาะสมและช่วงจังหวะเวลาด้วย เช่น ช่วงเทศกาลที่ผู้คนนิยมซื้อของขวัญและของใช้ การทำโฆษณาแบบ SEM ก็สมควรทำ เพื่อเอาชนะคู่แข่งและเพิ่มยอดขาย ส่วนระหว่างปีก็เน้นการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้ทั้งสองวิธีไปพร้อมกัน

SEO ทั่วไป

SEO กับ SEM เกี่ยวข้องกันอย่างไร

SEO กับ SEM เกี่ยวข้องกันอย่างไร

SEO และ SEM เป็นเทคนิคทางการตลาดในโลกออนไลน์ที่นักธุรกิจยุคใหม่ต้องรู้จัก เพราะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการขายสินค้าและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำได้ดีขึ้น ทั้งสองวิธีการต่างมีความเกี่ยวข้องกัน โดยสามารถช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

SEO หรือ search engine optimization เป็นเทคนิคที่ไม่มีค่าใช้จ่ายหากทำด้วยตัวเอง หรือหากจ้างบริษัททำ SEO ก็มีค่าใช้จ่ายตามสัญญารายปี การทำ SEO เป็นไปตามกติกาของ Google ที่ใช้ในการบ่งบอกว่าเว็บไซต์ใดมีคุณภาพมากน้อยกว่ากันเพื่อให้ผู้อ่านหรือลูกค้าเฉพาะกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงได้แตกต่างกัน โดยเว็บไซต์ที่มีคะแนน SEO ที่ดีกว่า จะมีโอกาสอยู่ลำดับต้น ๆ ของผลการค้นหา

การทำ SEO ใช้องค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การเลือก keyword ที่เหมาะสมสำหรับทำเนื้อหาและรูปภาพ การปรับส่วนโครงสร้างต่าง ๆ ในเว็บไซต์ให้สวยงามและใช้งานง่าย การทำ Backlink เชื่อมโยงระหว่างหน้าเพจหลายแห่งมาที่เว็บไซต์เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะหากเป็นเว็บไซต์ที่เป็นทางการหรือน่าเชื่อถือสูง ถ้าทำได้สอดคล้องกับเกณฑ์ของ Google มากเท่าใด ก็จะได้อันดับ SEO ที่สูงขึ้นมากเท่านั้น อันเป็นผลจากระบบทำดัชนีโดย Googlebot มาเก็บข้อมูลและประเมินศักยภาพของแต่ละเว็บไซต์เป็นระยะ

SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นการตลาดแบบที่ต้องเสียเงินโฆษณาเป็นรายครั้ง เนื่องจากเป็นการเช่าประมูลพื้นที่ในจุดที่การันตีได้ว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่พิมพ์หาด้วยคีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ จะเห็นการโฆษณาอย่างแน่นอน ซึ่งทาง Google จะเรียกค่าใช้จ่ายแบบ PPC หรือ pay per click เป็นการเรียกเก็บตามจำนวนครั้งที่มีผู้คลิกป้ายโฆษณา

ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของโฆษณาสามารถระบุเพดานในการจ่ายที่เรียกว่า Maximum cost per click เพื่อไม่ให้เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม หากเป็นคำที่มีคู่แข่งต้องการใช้เช่นกันก็จะยิ่งมีค่าประมูลที่สูงขึ้นตามไปด้วย จึงต้องวางแผนในการเลือกคีย์เวิร์ดที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพในการแข่งขันมากที่สุดด้วย

การทำ SEO และ SEM สามารถทำควบคู่กันได้ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางรายกล่าวว่า SEO ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ SEM เพราะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นแบรนด์ของคุณมากยิ่งขึ้น โดยเจ้าของเว็บไซต์สามารถวางแผนเพื่อส่งเสริมการขายได้ในงบประมาณที่จำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ทำ SEM ในช่วงที่ต้องการส่งเสริมการขายตามเทศกาล อย่างวันวาเลนไทน์ วันปีใหม่ วันสงกรานต์ ฯลฯ ซึ่งผู้คนนิยมซื้อของขวัญให้แก่กัน หรือช่วงปลายเดือนที่เงินเดือนออก ผู้คนจะนิยมซื้อของใช้ต่าง ๆ มากกว่าปกติ ส่วนการทำ SEO แนะนำว่าให้ทำเป็นประจำทุกวันตลอดทั้งปี จะทำให้แบรนด์ติดตลาดได้ยาวนานขึ้น แต่ไม่แนะนำให้ทำคู่กันตลอดทั้งปี เพราะว่าสิ้นเปลืองงบประมาณเกินไป

การทำธุรกิจออนไลน์ที่ดีนั้น นอกจากต้องหมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพแล้ว ยังต้องใส่ใจเรื่องเทคนิคการตลาดที่เหมาะสมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเทคนิค SEO หรือ SEM ก็สามารถส่งเสริมการขายและสร้างแบรนด์ของคุณให้เติบโตได้

SEO ทั่วไป

Google Ads จำเป็นไหมสำหรับเว็บไซต์ SEO

การทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ในปัจจุบันจำเป็นต้องทำเว็บไซต์แบบ SEO ตามกฎเกณฑ์ที่ Google กำหนด ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าจำเป็นต้องทำการโฆษณาหรือใช้บริการ Google Ads ด้วยหรือไม่ จึงจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ในบทความนี้เราจึงได้รวบรวมความเห็นที่น่าสนใจของผู้เชี่ยวชาญมาฝากกัน ดังนี้

SEO หรือ search engine optimization เป็นหลักการที่เว็บไซต์ยุคใหม่ทั่วไปทำกัน เช่น การเลือก keyword ที่มีคุณภาพในการเขียนบทความ การทำลิงก์เชื่อมโยงสู่เว็บไซต์อื่น ๆ ฯลฯ ซึ่งระบบ algorithm ของ Google จะมีช่วงเวลาในการเก็บประมวลข้อมูลด้าน SEO จากแต่ละเว็บไซต์ไป เพื่อใช้เปรียบเทียบคุณภาพ ทำให้เว็บไซต์ที่มีคะแนน SEO สูง มีโอกาสถูกสืบค้นพบได้ผ่าน Google มากขึ้น จึงเพิ่มยอดขายให้สินค้าและสร้างชื่อเสียงได้เร็ว

อย่างไรก็ตาม การทำ SEO นั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลาในการต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยเฉลี่ยใช้ระยะเวลา 3 เดือนหลังทำ จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี ดังนั้น SEO จึงเป็นพื้นฐานที่เหมาะกับธุรกิจทุกประเภทที่ควรทำตลอดทั้งปี เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีของการสืบค้นเสมอ

ทำความรู้จักกับ Google Ads

Google Ads เป็นเทคนิคการตลาดที่อาศัยการโฆษณา ต้องมีการเสียเงินค่าใช้จ่ายให้แก่ search engine หรือ Google ซึ่งอาจจะมีชื่อเรียกอื่นว่า Search Engine Marketing หรือ SEM โดยผู้ที่จะทำ Google Ads จะต้องทำการเลือก keyword ที่จะใช้ประมูลพื้นที่โฆษณา ซึ่งหากเป็น keyword ที่คนนิยมมากจากมีการแสดงสถิติไว้ใน Google Search Console ที่คนทำเว็บไซต์สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ ก็ต้องยอมรับว่าจะประมูลด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามมา

หลังจากได้พื้นที่โฆษณา Google Ads มา เจ้าของเว็บไซต์ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายที่จะให้ระบบตัดจากวงเงิน เป็นแบบ Pay per click ซึ่งเป็นการคิดค่าใช้จ่ายรายครั้งของการคลิก เมื่อมีกาตัดเงินจนเต็มวงเงินเมื่อไหร่ ก็จะทำให้หยุดการโฆษณาไปโดยอัตโนมัติ

การทำ Google Ads จึงเป็นช่องทางในการช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเห็นเว็บไซต์ธุรกิจมากขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ร้านที่ต้องการโปรโมทแบรนด์หรือเพิ่มยอดขายในช่วงใด ควรทำ Google Ads เสริมเป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่คนจะนิยมทำในช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ คริสมาสต์ วาเลนไทน์ วันสงกรานต์ ฯลฯ ที่ผู้คนมักจับจ่ายใช้สอย หรือแม้แต่ช่วงปลายเดือนของทุก ๆ เดือนซึ่งเป็นวันเงินเดือนออกของคนส่วนใหญ่ ก็เห็นผลที่ดีจากการทำ Google Ads ด้วย

การทำ Google Ads ไม่จำเป็นจะต้องทำตลอด และธุรกิจที่ทำ SEO มานานก็อาจไม่ต้องทำ Google Ads ก็ได้ เพราะมียอดขายดีอยู่แล้ว แต่สำหรับธุรกิจน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวปี 2019 หรือกำลังจะเปิดตัวในปี 2020 ก็ขอแนะนำให้ศึกษาการทำ Google Ads คู่กับ SEO ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อวางแผนทางธุรกิจในระยะยาวได้ดีขึ้น ซึ่งต้องประกอบกับการติดตามภาวะเศรษฐกิจและเทรนด์ความสนใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วย

ทำความรู้จักกับ Google Ads