SEO ทั่วไป

ปลดล็อก! สร้างร้านค้าออนไลน์บน Facebook Marketplaces ให้ประสบความสำเร็จในปี 2022

ปลดล็อก! สร้างร้านค้าออนไลน์บน Facebook Marketplaces ให้ประสบความสำเร็จในปี 2022

แม้ว่าการ Shopping Online ในประเทศไทยจะมีมานานแล้ว แต่หลังจากเกิดวิกฤติการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทำให้พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกว่าเป็นหนึ่งใน New Normal ของคนไทย โดยหนึ่งในช่องทางสร้างร้านค้าออนไลน์ใน Facebook หรือ Facebook Marketplaces เป็นช่องทางสร้างรายได้ที่หลายคนสนใจ โดยเทคนิคที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการสร้างร้านออนไลน์ได้ มีดังนี้

  1. เปิดร้านด้วย Account ที่น่าเชื่อถือ แม้ว่าการเปิดร้านค้าบน Facebook Marketplaces จะสามารถเปิดด้วย Account ส่วนตัวได้เลย แต่หากต้องการเพิ่มความเป็นมืออาชีพและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้า ควรเปิด Account ใหม่เพื่อใช้สำหรับขายของบน Facebook Marketplaces โดยเฉพาะ และใน Account สำหรับขายสินค้าควรใช้โพสต์เฉพาะ Content ที่เกี่ยวข้องกับของที่เราจะขายเท่านั้น 
  2. วางรูปแบบสำหรับขายสินค้า การจัดวางรูปแบบจะช่วยสร้างภาพจำและทำให้ลูกค้ารับรู้ได้ถึงความเป็นมืออาชีพ เริ่มตั้งแต่การจัดวางโทนสีของภาพ Template ที่ใช้เป็นปกสินค้า, การวางรูปแบบรายละเอียดสินค้า, เงื่อนไขการรับประกัน หรือระยะเวลาการส่งของให้เหมือนกันทุกชิ้น
  3. เลือกหมวดหมู่สินค้า การขายของออนไลน์ที่ดีควรเลือกหมวดหมู่สินค้าที่ตัวเองมีความถนัด เพราะจะช่วยให้เราสามารถตอบข้อสงสัยของลูกค้าได้อย่างมั่นใจและชัดเจน รวมถึงช่วยให้ลูกค้ารับรู้ถึงความน่าเชื่อถือและยังช่วยให้ร้านค้าติดอันดับบนหน้าแรกของ Facebook Marketplaces
  4. เขียนคำอธิบายสินค้าให้ชัดเจนที่สุด คำอธิบายสินค้าเป็นคอนเทนต์ที่ช่วยให้เราสามารถติดอับดับการค้นหาบนหน้าแรกของ Facebook Marketplaces ได้ ซึ่งหากอ้างอิงจากหลักการทำ SEO (Search Engine Optimization) 2022 ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับทำให้การเขียนคำอธิบายรายละเอียดสินค้าที่ลูกค้าอยากทราบจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้สินค้าของเราอยู่ในอันดับที่ดีได้
  5. ตั้งชื่อสินค้าด้วยหลักการ SEO โดยนำชื่อผลิตภัณฑ์ไปค้นหาบน Google Search และ Google Trend เพื่อดูว่าลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายใช้คำว่าอะไรในการค้นหาเพื่อให้เราได้คำที่ดีที่สุดและตรงกับการค้นหาของลูกค้า
  6. แต่งภาพแต่พอประมาณ กลุ่มผู้ใช้งาน Facebook Marketplaces โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่ไม่ค่อยได้ซื้อของบนโลกออนไลน์ การใช้รูปที่มีความสมจริงจึงได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายบน Facebook Marketplaces มากกว่า
  7. เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วย Facebook Live สำหรับผู้ขายใหม่ที่เพิ่งเปิดร้านค้าบน Facebook Marketplaces การ Live จะช่วยให้ลูกค้าสามารถสอบถามถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวสินค้าและได้รับคำตอบได้ในทันทีและยังทำให้ลูกค้าที่มาดูสินค้าย้อนหลังเกิดความเชื่อถือได้

การซื้อ – ขายสินค้าบนโลกออนไลน์เป็นเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจทำให้ร้านค้าออนไลน์ที่ยึดมั่นใจคำพูด หรือคอนเทนต์ของตัวเองอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำไปพร้อมกับการนำเทคนิคไปปรับใช้ ซึ่งจะช่วยให้การขายของออนไลน์ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

SEO ทั่วไป

ปัจจัยที่ทำให้ SEO เกิดประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่ทำให้ SEO เกิดประสิทธิภาพ

การจะทำให้เว็บไซต์ได้ผลการค้นหาติดอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของการสืบค้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกเว็บไซต์ที่เราพบในหน้าแรกของแทบทุกคำค้นหาในปัจจุบันนั้นล้วนเป็นเว็บไซต์ที่มีอายุและการดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์มาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ดังนั้นการที่เราจะทำให้เว็บไซต์ของเราได้ผลการค้นหาติดอันดับเช่นเดียวกับเว็บไซต์ชื่อดังบ้าง จึงต้องศึกษาเรียนรู้เทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ตามหลัก SEO เช่นเดียวกัน หรือถ้าจะพูดให้ถูกทั้งหมดต้องบอกว่าต้องทำให้มากกว่าหรือขยันพัฒนาเว็บไซต์ให้มากกว่าด้วย 

ก่อนที่จะลงมือทำการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์หรือทำ SEO ให้ได้ผลตามต้องการ สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อน ก็คือ ปัจจัยใดที่มีผลต่อการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ  และนี่คือ 5 ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการทำ SEO โดยตรง

1. มีความปลอดภัยในการใช้งาน

เว็บไซต์ที่ดีควรเป็นเว็บไซต์ที่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยมาแล้วคือขึ้นต้นด้วย https: และควรเป็นเว็บไซต์ที่มีการออกแบบหน้าตาและโครงสร้างภายในที่เป็นระเบียบ เข้าใจง่าย สบายตา เพื่อให้ทางระบบ algorithm อ่านค่าได้ว่าเว็บไซต์ของเราจัดรูปแบบโครงสร้างได้ดีและมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน

2. ควรโหลดเนื้อหาได้รวดเร็ว

การตรวจสอบความเร็วของการโหลดเว็บไซต์ทั้งในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เป็นสิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรหมั่นทำ เพื่อดูว่ามีจุดบกพร่องตรงไหนที่อาจทำให้เว็บไซต์ของเราโหลดได้ช้าจนผู้เข้าชมรอไม่ได้ และกดออกไปจากเว็บไซต์ก่อนการแสดงผลสำเร็จหรือเปล่า?

3. แสดงผลบนโทรศัพท์มือถือได้

หลายเว็บไซต์มักจะละเลยสิ่งนี้ ทั้งที่มีความสำคัญมาก ๆ เพราะผู้ใช้งาน google ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักค้นหาข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนเป็นหลัก การที่เว็บไซต์ไม่แสดงผลในรูปแบบของมือถือย่อมเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เว็บไซต์นั้นไม่มีผู้รับชม

4. เนื้อหาบทความต้องมีคุณภาพ

สิ่งสำคัญที่สุดที่คนทำ SEO ทราบดีคือ การที่ต้องมีบทความลงในเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ดีและความน่าเชื่อถือของเนื้อหาที่นำมาลง ทั้งหมดคือความสำคัญที่จะทำให้บทความนั้น ๆ มีประสิทธิภาพและส่งผลต่อการจัดอันดับการค้นหาของกูเกิ้ลทั้งสิ้น

5. มอบความประทับใจให้กับผู้เยี่ยมชม

ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของผู้เยี่ยมชมคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจัดอันดับของกูเกิ้ล เว็บไซต์ที่ผู้เยี่ยมชมเข้าไปแล้วรีบกดออกเพราะมีโฆษณา pop up รบกวนจนน่ารำคาญ มักจะได้คะแนนการจัดอันดับแย่กว่าเว็บไซต์ที่ผู้เยี่ยมชมเข้าชมเว็บไซต์ตั้งแต่หน้าแรกจนจบหน้าสุดท้ายอย่างมีความสุข

ทั้งหมดนี้เป็นเพียง 5 ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่มีผลต่อการทำ SEO ให้เกิดประสิทธิภาพ การทำ SEO ยังคงมีปัจจัยอื่น ๆ อีกที่ต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้เพื่อทำให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับในหน้าแรกได้ตามที่เราต้องการ

SEO ทั่วไป

SEO ต่างจาก SEM อย่างไร

SEO ต่างจาก SEM อย่างไร

ปัจจุบันบนโลกออนไลน์มีการแข่งขันที่สูงมาก ไม่ว่าธุรกิจหรือบริการใดก็ต้องเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในนี้ เพราะผู้บริโภคมีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปจากเดิม สมัยนี้คนเราต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ยอมจ่ายแพงหน่อยก็ยินดีถือว่าคุ้มค่าไม่ต้องเสียเวลา ทำให้ตลาดออนไลน์มีความคึกคักมากขึ้น และส่งผลให้การทำ Digital Marketing (การตลาดออนไลน์) มีหลายรูปแบบมากกว่าเดิม

โดย SEO กับ SEM เป็น 2 รูปแบบที่นิยมมาก ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลายปัจจัย ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของเว็บไซต์นั้น ๆ

  • SEM (Search Engine Marketing) คือ การลงทุนเพื่อทำการตลาดออนไลน์ที่สามารถวัดผลและนำไปวิเคราะห์ต่อยอดในธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยวิธีซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์เราอยู่อันดับบนสุดหน้าแรกของการค้นหาด้วย Keyword อย่างของ Google โดยสังเกตได้จาก Ad ด้านหน้าของเว็บไซต์
  • SEO (Search Engine Optimization) คือ การทำการตลาดออนไลน์โดยการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เว็บไซต์ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ หรือหน้าแรกของการค้นหาบน Search Engine อย่าง Google ที่มีคนใช้จำนวนมาก ด้วย Keyword โดยวิธีนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาเว็บไซต์ แต่ต้องทำให้ระบบอัลกอริทึม (Algorithm) ของ Search Engine ประเมินแล้วผ่านเกณฑ์ และพาเว็บไซต์ขึ้นสู่อันดับแรก ๆ ของหน้าการค้นหา

ในส่วนของการทำการตลาดออนไลน์แบบ SEO กับ SEM มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ดังนี้

1.ด้านค่าใช้จ่าย
SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนกับการโฆษณาบน Search Engine เจ้าของเว็บไซต์สามารถนำเงินส่วนนี้ไปปรับปรุง พัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ มีความน่าสนใจ ดึงดูดคนให้เข้าชมได้

SEM ถึงจะต้องเสียค่าใช้จ่าย มีการลงทุนกับส่วนนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนที่เห็นผล วัดผลได้ สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ ต่อยอดในด้านต่าง ๆ ของธุรกิจต่อไป

2.ด้านเวลาในการทำ
SEO ใช้ระยะเวลาที่มากกว่า และต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง การศึกษาอย่างตรงจุดและใส่ใจรายละเอียดว่าแบบไหนที่อัลกอริทึม (Algorithm) ของ Search Engine ถูกใจ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับระบบที่ตั้งขึ้นมา

ส่วน SEM เห็นผลได้ชัดเจนในทันที ในการติดอันดับบนสุดของหน้าแรกบน Search Engine (ถ้าประมูลค่าคลิกชนะคู่แข่งที่ลงโฆษณาเช่นกัน) แค่ Keyword เกี่ยวข้องตรงกับเว็บไซต์ ผู้คนก็เห็นเว็บไซต์คุณแล้ว

3.การันตีผล
SEO ไม่ได้การันตีได้เสมอไปว่าเว็บไซต์เราจะติดหน้าแรกหรืออันดับต้น ๆ ของการค้นหาด้วย Keyword ถึงแม้เว็บไซต์เราจะเกี่ยวข้อง เพราะตัวของระบบ Search Engine เองก็มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ส่วน SEM การันตีขึ้นอันดับบนสุดและหน้าแรกแน่นอน หากคุณภาพของโฆษณาและค่าประมูลต่อคลิกตรงตามเงื่อนไขการแข่งประมูล แต่ตัวเว็บไซต์เองก็ต้องให้ความสำคัญของ Keyword และประสบการณ์ผู้ใช้ด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นเสียเงินโฆษณาไปแบบเปล่าประโยชน์

4.โอกาสทางธุรกิจ
SEO กว่าคนจะเห็นเว็บไซต์ เราอาจจะเสียโอกาสทางธุรกิจไปแล้วก็ได้ ลูกค้าอาจจะเลือกเจ้าอื่นไปก่อนหน้าที่จะมาเจอเว็บไซต์เรา

ในขณะที่ SEM โอกาสที่คนจะเข้าเว็บไซต์เป็นไปได้สูงกว่า สร้างโอกาสให้ธุรกิจโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น เห็นผลรวดเร็ว เราจะได้เพิ่มทั้งจำนวนผู้เข้าชม และได้ยอดขายเพิ่มด้วย

ความแตกต่างของ SEO กับ SEM ถือเป็นทางเลือกของแต่ละธุรกิจแต่ละเว็บไซต์เพื่อทำการตลาดออนไลน์ โดยการประเมินจากหลายปัจจัยของธุรกิจนั้น ๆ แต่ทั้งนี้ เพื่อความคุ้มค่า ก็ต้องดูความเหมาะสมและช่วงจังหวะเวลาด้วย เช่น ช่วงเทศกาลที่ผู้คนนิยมซื้อของขวัญและของใช้ การทำโฆษณาแบบ SEM ก็สมควรทำ เพื่อเอาชนะคู่แข่งและเพิ่มยอดขาย ส่วนระหว่างปีก็เน้นการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้ทั้งสองวิธีไปพร้อมกัน

SEO ทั่วไป

ทำไมการทำ SEO จึงสำคัญต่อเพจและเว็บไซต์

ทำไมการทำ SEO จึงสำคัญต่อเพจและเว็บไซต์

หลายคนที่อยู่ในวงการธุรกิจออนไลน์ต้องรู้จักคำว่า SEO หรือ Search Engine optimization ว่าช่วยให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อการทำเว็บไซต์และเพจ แต่ยังมีอีกหลายคนที่เพิ่งเข้ามาสู่วงการนี้และยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมการทำ SEO จึงสำคัญมากนัก

เรามาดูกันว่าที่ใคร ๆ ว่า SEO เป็นสิ่งสำคัญ จะเป็นด้วยเหตุผลอะไรบ้าง

  1. ช่วยให้เป็นผู้นำของธุรกิจ
    ธุรกิจแต่ละประเภทจะมีกลุ่มผู้นำและผู้ตาม เช่น ธุรกิจร้านอาหาร สินค้าบำรุงสุขภาพ เช่น คอลลาเจน จะมีหลายยี่ห้อที่คนนิยมมาก เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง หรือเรียกว่า ระดับผู้นำกลุ่ม ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้ตามที่มียอดขายน้อยกว่า ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากการทำ SEO ให้เว็บไซต์ที่ตอบโจทย์การค้นหาด้วย keyword ที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาใน Google นั่นเอง หากเลือก keyword โดยใช้เครื่องมือที่สำคัญอย่าง Google Trends ก็จะสามารถผลิตบทความที่ตรงใจผู้อ่านได้มากขึ้น นำมาซึ่งยอดขายและกลายเป็นผู้นำในธุรกิจนั้นได้ในที่สุด
  2. ขยายตลาดให้ฐานกว้างขึ้น
    ไม่มีใครปฏิเสธว่าอยากได้กลุ่มลูกค้าที่ฐานกว้างขึ้น เช่น จากคนไทยไปเป็นชาวเอเชียทั้งหมด และอยากขยายตลาดไปทางยุโรป อเมริกา และทั่วโลก การปรับโครงสร้างของเพจหรือเว็บไซต์ การผลิตเนื้อหาให้ตรงกับที่ลูกค้าต้องการอ่านตามหลัก SEO จึงสำคัญต่อการอยู่รอดของธุรกิจอย่างมาก
  3. ลดต้นทุนทางธุรกิจ
    ต้นทุนทางธุรกิจไม่ได้มาจากแค่วัตถุดิบการผลิตและการขนส่งสินค้าเท่านั้น ยังมาจากการโฆษณาสินค้าอีกด้วย หากคุณจำเป็นต้องจ้างพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นดารา นักร้อง นักแสดง ก็จะทำให้อัตราค่าใช้จ่ายสูงขึ้นอีกประมาณ 30 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ หากคุณต้องการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้โดยเฉพาะนักธุรกิจขนาด SME ก็ควรทำ SEO ให้กับเพจและเว็บไซต์ เพื่อให้คุณภาพของเนื้อหาเป็นตัวสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าแทนการจ้างทำโฆษณาและพรีเซ็นเตอร์
  4. ช่วยให้ธุรกิจเติบโตแบบยั่งยืน
    คงไม่ดีถ้าธุรกิจดังแค่ข้ามคืนแล้วก็ซาความนิยมลงไปในเวลาไม่นาน หากคุณต้องการที่จะให้ผู้คนติดใจในคุณภาพแบรนด์ ทั้งตัวเนื้อหาสาระที่ผลิตอันเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค และทั้งด้านคุณภาพของสินค้า ที่ทำให้มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แถมลูกค้าที่เคยซื้อแล้วก็กลับมาซื้อซ้ำอีก การทำ SEO จะเป็นตัวช่วยในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี

การทำ SEO เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นขั้นพื้นฐานสำหรับคนทำธุรกิจออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งควรศึกษาตั้งแต่เนิ่น ๆ วางแผนเป็นอย่างดี ทั้งจำนวนความถี่และความยาวของการผลิตเนื้อหา การวิเคราะห์หา keyword ที่ดี การจ้างนักเขียนที่มีความสามารถ รวมทั้งการเลือกบริษัททำเว็บไซต์ที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล จะทำให้โอกาสประสบความสำเร็จมีมากขึ้นและรวดเร็ว

SEO ทั่วไป

วิธีเลือกคีย์เวิร์ดจากเว็บคู่แข่งเพื่อการทำ SEO

วิธีเลือกคีย์เวิร์ดจากเว็บคู่แข่งเพื่อการทำ SEO

คนทำธุรกิจทุกวันนี้เข้าใจว่าการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงในการค้นหาของ Google มีความสำคัญต่อการขาย ยิ่งมีคนเข้าดูเว็บไซต์มากเท่าไรยิ่งเพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้นเท่านั้น ถือได้ว่าคีย์เวิร์ดเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ SEO ถ้าเลือกคำหรือวลีที่เหมาะสมจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นลูกค้าในภายหลัง

การเลือกคำหลักที่ดีที่สุดคือคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรา สามารถระบุตัวตนและคุณสมบัติเฉพาะที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะใช้ดึงผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้เข้ามาอ่านข้อมูลและมีโอกาสขายสินค้าได้มากกว่าคู่แข่ง ถ้าเป็นมือใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำ SEO มาก่อน ยังไม่ทราบว่าควรใช้คีย์เวิร์ดแบบไหน แนะนำให้วิจัยคู่แข่งในตลาดเดียวกัน และตรวจสอบว่าคู่แข่งใช้คำหรือวลีใดบ้าง การวิจัยคำหลักของคู่แข่งต้องเลือกเฉพาะคู่แข่งที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ถือเป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำมาใช้วิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้ แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีจริงต้องเช็คปริมาณการค้นหาด้วย ถ้าคำนั้นเป็นที่นิยมใช้พิมพ์ค้นหาใน Google บ่อย ๆ แสดงว่าเป็นความตั้งใจและความต้องการของผู้ใช้ สามารถนำคำนั้นมาใช้เป็นคีย์เวิร์ดในการทำ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา

สรุปง่าย ๆ ว่ามองหาคีย์เวิร์ดสอดคล้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องพิจารณาคำที่คนพิมพ์ค้นหาบ่อย ๆ เป็นปัจจัยสำคัญด้วย พร้อมกับมองหาคำอื่นมาใช้ร่วมกัน เนื่องจากแต่ละหน้าเว็บไซต์ไม่ควรใช้คำซ้ำกัน มองหาคีย์เวิร์ดที่หลากหลายและกระจายใช้ในหน้าเว็บต่าง ๆ นอกจากคำหลักที่ค้นหาเป้าหมายค่อนข้างครอบคลุมแล้ว การใช้คำหลาย ๆ ที่ต่อกันเป็นวลีทำให้จับความสนใจกลุ่มเป้าหมายแคบลง เลือกคำที่จะช่วยให้เว็บไซต์ถูกค้นพบทำให้มีโอกาสปิดการขายง่ายขึ้น การระบุคำหลักที่ดีที่สุดอาจไม่มีผลสำคัญต่อการทำ SEO อย่างที่คุณคิด ถ้ามีคำดี ๆ แล้วแทรกในบทความไม่ถูกที่ถูกทาง นอกจากจะทำให้บทความอ่านไม่รู้เรื่องและไม่เพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาแล้ว อาจเสี่ยงถูกแบนและได้รับบทลงโทษจาก Google ด้วย

มือใหม่อย่าเพิ่งท้อใจไปก่อน นอกจากการวิเคราะห์คำหลักจากเว็บไซต์ของคู่แข่งแล้ว ปัจจุบันมีเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อใช้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม สามารถวิเคราะห์คำหลักได้เร็วและง่ายขึ้น เมื่อได้คีย์เวิร์ดมาแล้ว ลองวิเคราะห์หาคำที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์และธุรกิจของตนเอง ทั้งคำหลักทั่วไปและคำแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อนำมาใส่ในบทความในเว็บไซต์ให้กลมกลืนไปกับเนื้อหามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปัจจัยที่ส่งเสริมอันดับใน Google ไม่ได้มีเฉพาะคีย์เวิร์ดอย่างเดียว เนื้อหาของบทความต้องบอกข้อมูลสำคัญของสินค้าหรือบริการ อ่านแล้วมีประโยชน์ และดึงดูดความสนใจด้วยช่วยตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่จะกลายมาลูกค้า สร้างความพึงพอใจและบอกต่อกันไปให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ

SEO ทั่วไป

ขั้นตอนการทำ SEO ในรูปภาพประกอบบทความ

ขั้นตอนการทำ SEO ในรูปภาพประกอบบทความ

บทความที่มีแต่ตัวหนังสือยาวเหยียดเต็มหน้ากระดาษ หรือบทความพร้อมภาพประกอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา แบบไหนน่าอ่านกว่ากัน การใส่ภาพประกอบในบทความเป็นเทคนิคการทำ SEO อย่างง่าย ๆ จูงใจให้คนคลิกเข้าอ่านบทความมากขึ้น นอกจากนี้การใส่คีย์เวิร์ดในชื่อรูปเป็นอีกวิธีทำ SEO ที่ไม่ควรมองข้ามและส่งผลดีต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ใน Google

การทำ SEO สำหรับรูปภาพนั้นไม่ต่างจากการทำ SEO ในบทความ โดยใช้เป็นส่วนเสริมให้บทความดูน่าสนใจและเข้าใจเนื้อหาที่ต้องการสื่อถึงผู้อ่านอย่างรวดเร็ว รูปภาพยังเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่ม Traffic ให้ผู้อ่านหรือกลุ่มเป้าหมายคลิกเข้าอ่านบทความในเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น

ขั้นตอนการทำ SEO ในรูปภาพประกอบบทความ มีดังนี้

1.ปรับขนาดรูปให้ลงตัว
ก่อนอื่นจำเป็นต้องตั้งค่ารูปภาพให้มีขนาดเหมาะสมดูสวยงาม ตรวจเช็กเส้นกรอบรูปให้ดี เพราะถ้ารูปภาพไม่อยู่ตรงกลางแต่ล้นไปทางขวามือทำให้เห็นไม่เต็มรูป ภาพขนาดเล็กเกินมองเห็นไม่ชัด หรือภาพขนาดใหญ่ล้นหน้าจอหรือมีขนาดใหญ่เกินไปจนต้องใช้เวลาอัปโหลดบนจอมือถือนาน ทำให้คนไม่อยากเสียเวลาและไม่กลับมาเข้าเว็บไซต์อีก ขนาดไฟล์รูปภาพที่เหมาะสมคือไม่เกิน 500 KB เมื่อไฟล์ภาพมีขนาดเล็กจะแสดงผลบนหน้าเว็บไซต์เร็วขึ้น แต่ไม่ควรเล็กเกินไปจนมองเห็นไม่ชัด ในกรณีรูปภาพใหญ่เกินไปและดาวน์โหลดช้า ทำให้เห็นว่าเว็บไซต์ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลเสียต่อการประเมินจัดอันดับของ Google ยิ่งการเข้าใช้งานลื่นไหลและรวดเร็วขึ้นเท่าไร ยิ่งติดอันดับท็อปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

2.ใส่คีย์เวิร์ดและ Alt Text ในชื่อรูปภาพ
วิธีการทำ SEO สำหรับรูปภาพคือการใส่คีย์เวิร์ดในชื่อรูปภาพเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งส่งผลดีต่อการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดสำคัญของบทความ การตั้งชื่อรูปภาพไม่ว่าจะใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย หรือตัวเลขก็ได้ ควรเลือกใช้คำสั้นกระชับ ตรงไปตรงมา และได้ใจความชัดเจน นอกจากนี้ควรใส่คีย์เวิร์ดใน Alt Text (Alternative Text) ด้วย โดย Alt Text เป็นเครื่องมือในการอธิบายรูปภาพ โดยข้อความอธิบาย Title ของรูปภาพจะปรากฏขึ้นเมื่อเลื่อนเมาส์ไปเหนือรูปนั้น ส่วน ALT จะมองเห็นเมื่อโหลดรูปยังไม่ขึ้น ก็จะเห็นคำอธิบายว่าเป็นภาพเกี่ยวกับอะไร การใส่คีย์เวิร์ดทั้งสองตำแหน่งเพื่อสร้างความสอดคล้องกับเนื้อหาของบทความจะส่งผลดีต่อการทำ SEO และช่วยให้การค้นหาบทความนั้นง่ายขึ้น รวมถึงช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ทันทีว่าเนื้อหาบทความเกี่ยวข้องกับอะไร

3.ใช้รูปภาพของตัวเอง
การแทรกรูปภาพในบทความจะเลือกใช้รูปภาพจากเว็บฟรีต่าง ๆ ก็ได้ แต่การใช้รูปภาพที่ถ่ายเองหรือสร้างขึ้นเองจากโปรแกรมแต่งรูปต่าง ๆ จะส่งผลดีต่อการทำ SEO มากกว่ารูปภาพที่คนอื่น ๆ นำไปใช้ซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง แม้แต่การใช้รูปภาพประกอบที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองขึ้นมา ทำเห็นได้ว่าการทำ SEO สำหรับรูปภาพมีความสำคัญไม่น้อย ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ชมเว็บไซต์และสนับสนุนให้บทความติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของ Google ได้ง่ายขึ้น

สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่นึกไม่ถึงคือ หากทำรูปภาพตามหลักการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว จะทำให้มีโอกาสติดอันดับส่วนที่เป็นผลการค้นหารูปภาพด้วย เป็นการช่วยเพิ่มปริมาณผู้ชมให้อีกทางหนึ่ง

SEO ทั่วไป

รู้จัก 5 เทรนด์การทำ SEO มาแรงประจำปี 2021

รู้จัก 5 เทรนด์การทำ SEO มาแรงประจำปี 2021

สำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการทำคอนเทนต์หรือเขียนบทความออนไลน์บนโลกอินเทอร์เน็ตย่อมรู้ถึงความสำคัญของการทำ SEO (Search Engine Optimization) กันอย่างแน่นอน เพราะถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมในเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว

สำหรับวันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 5 เทรนด์การทำ SEO มาแรงประจำปี 2021 ที่ใครก็สามารถทำได้

1.ให้ความสำคัญกับเวลาการเข้าชมมากกว่าปริมาณการเข้าถึง
ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่ Search Engine เจ้าตลาดอย่าง Google ให้ความสำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ ของปี 2021 เลยก็ว่าได้ โดยปริมาณการเข้าถึง หรือที่เรียกว่า Traffic จะถูกลดบทบาทและความสำคัญลง และให้ความสำคัญกับระยะเวลาการใช้งานของกลุ่มเป้าหมาย (User) มากขึ้น แปลว่า ในสายตาของ Google แล้ว จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ ไม่สู้ระยะเวลาที่ผู้เข้าชมอยู่ในเว็บไซต์นั้น ๆ ฉะนั้น ใครที่คิดจะทำ SEO ในปีนี้ควรรักษาฐาน User ของตัวเองไว้ให้มากที่สุดโดยเน้นการทำคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์กับ User เก่า ควบคู่ไปกับการทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจเพื่อดึงดูด User

2.ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นหลัก
การทำคอนเทนต์ SEO ในปี 2021 ควรให้ความสำคัญกับผู้ใช้งาน (User) เป็นหลัก โดยเฉพาะการปรับปรุงเว็บไซต์ให้สามารถตอบสนองต่อผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เน้นการทำคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานมากกว่าทำคอนเทนต์เพื่อเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น Email, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์ หรือบังคับให้ลงทะเบียนก่อนเข้าเว็บไซต์ เป็นต้น ซึ่ง Search Engine อย่าง Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่เป็นมิตรและเป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก

3.ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาครบถ้วน
การทำคอนเทนต์ SEO ในปี 2021 Google ให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์ที่มีเนื้อหามากกว่า 1,000 คำขึ้นไป เนื่องจากเป็นจำนวนคำที่สามารถใส่รายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป และที่สำคัญคือการจัดหน้าแสดงเนื้อหาต้องมีลักษณะเป็นระเบียบ อ่านง่าย ไม่รกสายตา รวมถึงใช้ “คีย์เวิร์ด” ให้กระจายทั่วคอนเทนต์ในจำนวนที่เหมาะสม ไม่ “ยัด” คีย์เวิร์ดจนผิดธรรมชาติของการใช้ภาษา

4.ให้ความสำคัญกับ “Mobile First”
สำหรับเทรนด์การทำเว็บไซต์ให้ได้อันดับดี ๆ บนหน้าการค้นหาของ Google ประจำปี 2021 ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การออกแบบเว็บไซต์ให้สามารถใช้งานได้ทั้งในคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน โดย Google ได้ออกมาประกาศเองว่า การจัดอันดับเว็บไซต์ของปี 2021 จะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่รองรับการแสดงผลบนหน้าจอมือถือก่อนเป็นอันดับแรก หรือ “Mobile-first Indexing” ฉะนั้น เว็บไซต์ของใครที่ยังไม่ได้ปรับปรุงให้รองรับการใช้งานบนมือถือแล้วละก็ อีกไม่นานเว็บไซต์ของคุณก็จะค่อย ๆ หายไปจากหน้าผลการค้นหา!

5.ให้ความสำคัญกับ LSI Keyword
LSI Keyword หรือ คีย์เวิร์ดแวดล้อม ซึ่งอาจจะเรียกอีกอย่างได้ว่า “คีย์เวิร์ดรอง” เป็นเหมือนการบอก Google ว่า คอนเทนต์ของเราเกี่ยวกับอะไรบ้าง เหมาะเจาะกับการค้นหาของผู้ใช้งานอย่างไร ฉะนั้น ใครที่อยากได้อันดับดี ๆ ในหน้าการค้นหาก็อย่าลืมแทรก LSI Keyword ในบทความหรือหน้าเว็บไซต์ของตัวเอง ตัวอย่างเช่น หากเราใช้ Main Keyword ว่า “รองเท้า” LSI Keyword ก็จะเป็นคำขยายให้เฉพาะเจาะจงขึ้น เช่น รองเท้าวิ่งออกกำลังกาย, รองเท้าแฟชั่น เป็นต้น

การทำ SEO ในแต่ละปีมักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์หรือความต้องการของระบบ Search Engine อยู่เสมอ ฉะนั้น การจะทำ SEO ให้ได้ผล จึงต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมา และคอยติดตามข่าวสารวงการ SEO อยู่เสมอ

SEO ทั่วไป

ยุคโควิด-19 นี้นักธุรกิจมือใหม่ควรเริ่มทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ด้วยตนเอง

ยุคโควิด-19 นี้นักธุรกิจมือใหม่ควรเริ่มทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ด้วยตนเอง

การทําเว็บไซต์ขายของออนไลน์เป็นช่องทางการตลาดที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคไวรัสโควิด-19 ระบาด มีนักธุรกิจมือใหม่ที่เปิดเว็บไซต์ขายของด้วยตัวเองมากขึ้น ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาดแนะนำให้นักธุรกิจเหล่านี้ทำ SEO ด้วยตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ เรามาดูกันว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไรบ้าง

1.SEO เรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากที่บ้าน
ในยุคไวรัสโควิดระบาด ควรงดการเดินทาง และการทำ SEO ยังเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเว็บไซต์ที่เรียนรู้ได้เอง ไม่จำเป็นต้องจบสายคอมพิวเตอร์หรือไอทีมาโดยตรง ผู้ที่เขียนโค้ดโปรแกรมไม่เป็นก็ยังสามารถทำ SEO ได้ด้วยตัวเอง เพียงศึกษาจากหนังสือตำราที่มีขายอยู่ทั่วไป หรือเข้าคอร์สเรียนออนไลน์ซึ่งราคาไม่แพงอย่างที่คิด ก็ทำให้นำความรู้ที่ได้มาทำในภาคปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยจากโควิดด้วย

2.ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่าย
การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับอยู่ด้านบนของหน้าจอ SERPs ของ Google โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแบบ SEM หรือ Google Ads จึงเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการประมูลพื้นที่โฆษณาไปได้โดยปริยาย เหมาะแก่การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการควบคุมต้นทุน และเหมาะกับผู้ที่ยังไม่แน่ใจในทิศทางของเว็บไซต์ จึงควรเริ่มต้นจากวิธีที่ไม่ต้องเสียเงิน

3.ทำให้รู้จุดบกพร่องของเว็บไซต์ได้ง่าย
การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ในปัจจุบันมีเครื่องมือที่เรียกว่า Yoast SEO ซึ่งมีฟังก์ชันมากมายในการตรวจหาข้อบกพร่องของเว็บไซต์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จึงทำให้ผู้เริ่มทำเว็บไซต์ตระหนักได้มากขึ้นว่ามีจุดใดบ้างที่ควรแก้ไข เช่น การเลือกหา keyword ที่มีคุณภาพ การเขียนคำบรรยายที่เหมาะสมของรูปภาพ การตั้งชื่อหัวเรื่องที่มีความยาวกำลังดี เป็นต้น จะทำให้เกิดการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและปรับใช้กับบทความต่อ ๆ ไปได้ทันที

4.มั่นใจได้ว่าทำตามกฎของ Google
ปัจจุบันการจ้างทำ SEO ที่ได้อันดับดีและรวดเร็วอย่างผิดสังเกต มักเกิดจากการละเมิดกติกาของ Google เช่น มีการทำ backlink หรือ spin keyword ในระยะแรก อาจหลุดรอดจากการตรวจของระบบอัลกอริทึมที่มาเก็บข้อมูลเป็นระยะ จึงมีการแสดงผลด้านบนอย่างรวดเร็ว แต่ในที่สุดก็จะเกิดผลร้ายตามมา คือ ถูกแบนหรือถูกลดอันดับลงไปอยู่ด้านล่างและหน้าท้าย ๆ ในเวลาไม่นาน หากคุณทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ด้วยตนเองตามที่ผู้เชี่ยวชาญสอน ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน

จากที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าการทำ SEO ด้วยตัวคุณเอง ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายหลายด้าน ทำให้มีความรู้และความมั่นใจในการพัฒนาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว และยังสามารถแก้ไขจุดบกพร่อง เสริมจุดแข็งของเว็บไซต์ตัวเองได้อย่างตรงจุดและรวดเร็วอีกด้วย นักธุรกิจมือใหม่จึงควรเริ่มศึกษาแนวทางการทำ SEO ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาและโอกาสในการแข่งขันกับเจ้าตลาดรายเดิม

SEO ทั่วไป

SEO คืออะไร 5 เหตุผลที่ธุรกิจต้องมีและต้องใช้เพื่อความสำเร็จ

SEO คืออะไร 5 เหตุผลที่ธุรกิจต้องมีและต้องใช้เพื่อความสำเร็จ

ในยุคที่โลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนทุกช่วงวัย การบริโภคหรือการซื้อขายสินค้าและบริการจำเป็นต้องพึ่งพาสื่อสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก เครื่องมือหนึ่งที่ธุรกิจนิยมใช้เพื่อทำให้ผู้บริโภคได้รู้จักองค์กรหรือสิ่งที่ทำคือ การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับ Top10 ของการค้นหาใน Google เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดงบประมาณในการดำเนินการมากที่สุด

วันนี้เราจะมาแจกแจง 5 เหตุผลว่าเพราะอะไรธุรกิจจึงต้องมีและต้องใช้ SEO เพื่อความสำเร็จขององค์กร

1.SEO (Search Engine Optimization) คือเครื่องมือที่ช่วยทำให้ผู้คนได้สัมผัสและรู้จักตัวตนของธุรกิจ ด้วยการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์อันมีเนื้อหา ข้อมูลหรือบทความที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคด้วยหัวใจสำคัญคือคีย์เวิร์ดที่มีผู้ใช้เป็นคำค้นหาใน Google เช่นผู้ใช้ต้องการค้นหา บ้านผลบอล โดยหากคีย์เวิร์ดที่ใช้ในหน้าเว็บไซต์ตรงกับคำค้นหาที่มีผู้ใช้ค้นหา และเป็นหน้าเว็บเพจที่มีคุณภาพสูง เว็บไซต์ของธุรกิจจะถูกผลักดันให้ขึ้นไปอยู่ในผลลัพธ์หน้าแรกของการค้นหา และนั่นคือโอกาสที่ธุรกิจจะเป็นที่รู้จักได้เร็วและง่ายขึ้น

2.Google คือ Search Engine ที่ผู้ใช้เชื่อถือ จากสถิติของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพบว่า (1) ผู้คนพึ่งพาการใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลหรือความสนใจในด้านต่าง ๆ ถึงกว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที (2) 90% ของผู้บริโภคจะยังไม่ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการหากไม่ได้ค้นหาข้อมูลจาก Google ก่อน และ (3) การใช้ SEO ทำการตลาดให้ผลลัพธ์ได้มากถึง 14.6% ขณะที่การตลาดแบบเก่าให้ผลลัพธ์เพียง 1.7% จากสถิติที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ยืนยันได้ว่า Google คือเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการตลาดและการขายของธุรกิจ

3.ความสำเร็จของธุรกิจเกิดจากการทำ SEO ควบคู่ไปกับ SEM ความหมายคือ SEO เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้ากับการค้นหาข้อมูลของผู้บริโภคซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหา ขณะที่ SEM คือการซื้อโฆษณาบน Google เพื่อให้เว็บไซต์เราอยู่ในหน้าแรกของการค้นหา ซึ่งแน่นอนว่าการทำ SEM จะส่งผลให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นพบก่อนเป็นอันดับแรกและมีโอกาสทางธุรกิจได้มากกว่าการทำเพียง SEO

4.ประโยชน์ของการทำ SEO ของธุรกิจมีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นทำให้ผู้คนรู้จักธุรกิจ แบรนด์หรือภาพลักษณ์ของเรามากขึ้น เป็นการช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบริการได้โดยตรงจากคีย์เวิร์ดที่ใช้ อีกทั้งช่วยประหยัดงบทางการตลาดและโฆษณาของธุรกิจได้

5.SEO ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงประเด็น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำให้เว็บไซต์ธุรกิจถูกพบเห็นโดยกลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายโดยตรง และในปริมาณมากในแต่ละวัน ซึ่งเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ

สรุปก็คือ SEO เปรียบเหมือนกลไกชิ้นหนึ่งของธุรกิจที่ช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ได้ ทุกธุรกิจที่หวังลูกค้าจากออนไลน์จึงไม่ควรเพิกเฉยต่อการทำ SEO บนหน้าเว็บไซต์เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้เร็วยิ่งขึ้น

SEO Keywords หมวดพนัน

5 คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรมีในเว็บไซต์ ก่อนเริ่มทำ SEO ให้ติดอันดับ

5 คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรมีในเว็บไซต์ ก่อนเริ่มทำ SEO ให้ติดอันดับ

ปัจจุบัน ธุรกิจออนไลน์ในรูปของสินค้าและบริการเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้หลายธุรกิจเกิดคู่แข่งแย่งพื้นที่โฆษณาบน Google กันอย่างเข้มข้น การทำ SEO คือช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นจำนวนมากและแม่นยำตรงประเภทของสินค้า ส่งผลให้ธุรกิจออนไลน์นับไม่ถ้วนที่ไม่มีแม้แต่หน้าร้าน แต่ก็ประสบความสำเร็จได้จากการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการทำ SEO ที่ดีคือการปรับแต่งเฉพาะตัวคอนเทนต์หรือบทความที่อยู่เว็บไซต์ให้มีคุณสมบัติของ SEO เท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว การจัดการหน้าเว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ของเราให้เหมาะสมก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้การทำ SEO ของเรามีประสิทธิภาพและมีโอกาสติดอันดับมากขึ้น

ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 5 คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรมีในเว็บไซต์ ก่อนจะเริ่มทำ SEO

1.เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
หากหน้าร้านค้าตามตลาดนัดคือสิ่งที่แรกที่ช่วยดึงดูดลูกค้าเข้าร้านแล้ว การมีเว็บไซต์เป็นหลักแหล่ง เชื่อถือได้ ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้ SEO ของเรามีโอกาสติดอันดับเช่นเดียวกัน ปัจจุบันการสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก แถมเรายังสามารถปรับแต่งหรือออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้กลายเป็นหน้าร้านค้าออนไลน์ที่สวยงาม น่าสนใจ และมีความน่าเชื่อถือสำหรับลูกค้าที่เข้ามาชมเว็บไซต์นั่นเอง

2.การเข้าถึงเว็บไซต์ต้องรวดเร็ว
ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ต้องการความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ดังนั้น เราควรออกแบบเว็บไซต์ให้มีระบบการจัดการภายในที่ดี ไม่ซับซ้อนหรือมีขนาดเทอะทะเกินไป จนทำให้การโหลดข้อมูลหรือการเปิดหน้าเว็บไซต์ทำได้ช้า ควรออกแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ให้ชัดเจน มีหมวดหลักที่ประกอบด้วยหมวดย่อยที่เกี่ยวข้อง เช่น ถ้าหากหมวดหลักคือ “รองเท้า” ควรจะมีหมวดย่อยที่แบ่งรองเท้าประเภทต่าง ๆ เพื่อความสะดวกของลูกค้าที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้า และยังจะช่วยสร้างความประทับใจให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราอีกด้วย

3.คอนเทนต์ที่มีคุณภาพ
ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ SEO ที่มีคุณภาพมากกว่าการใช้คำซ้ำกันมาก ๆ เหมือนแต่ก่อน แม้เว็บไซต์ของเราจะเป็นร้านค้าออนไลน์ ก็จำเป็นที่จะต้องมีคอนเทนต์หรือบทความที่มีคุณภาพ เพราะการแนะนำหรือบอกรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าสักชิ้นหนึ่ง ย่อมต้องอาศัยบทความที่มีเนื้อหาดึงดูดให้คนอ่านเกิดความสนใจในตัวสินค้า ยิ่งเราเขียนได้ดี ลื่นไหล เป็นธรรมชาติมากเท่าไหร ก็ยิ่งมีโอกาสที่ SEO ของเราจะติดอันดับมากขึ้นเท่านั้น

4.เลือกใช้ Keyword ให้เหมาะสม
การจะเขียนบทความ SEO ส่วนสำคัญคือ Keyword ที่เราเลือกใช้ ซึ่งควรจะเป็นคำที่เฉพาะเจาะจง ไม่กว้างเกินไป เพราะหากเราเลือกใช้คำกว้าง ๆ ก็ยิ่งมีโอกาสที่เราจะเจอคู่แข่งที่ขายสินค้าและบริการประเภทเดียวกับเรามากขึ้น เช่น ไม่ควรใช้ Keyword แค่ “รองเท้า” แต่ควรใช้คำที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น เช่น “รองเท้าวิ่ง 2020 ผู้ชาย” หรือ “รองเท้าแตะ (ยี่ห้อ) พื้นนิ่ม สีดํา ราคา” เป็นต้น

5.ควรมี “โซเชียลมีเดีย” ไว้รองรับการทำ SEO
นอกจากการสร้างหน้าเว็บไซต์หรือหน้าร้านออนไลน์แล้ว จะต้องสร้างช่องทางโซเชียลมีเดียของร้านตัวเองด้วย เช่น เพจ Facebook, Youtube Channel, Twitter ฯลฯ สำหรับแชร์บทความหรือคอนเทนต์ SEO ในเว็บไซต์ของเรา เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์เกี่ยวกับการทำการตลาดออนไลน์ไม่เคยหยุดนิ่งตายตัว แต่ต้องคอยเกาะกระแสหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในช่วงนั้น ๆ มากที่สุด แน่นอนว่าทุกคนสามารถมีเว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเองได้ไม่ยาก แต่คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนที่ลงมือทำให้เว็บไซต์เป็นที่ยอมรับของ Search Engine เช่น Google มากที่สุด